วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศสวิตเซอร์แลนด์





เบิร์น Bern 
เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์เป็นเมืองโบราณเก่าแก่และโรแมนติก การเดินเที่ยวชม ความงดงามของ สถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เมื่อมีโอกาสได้มาเยือนนครแห่งนี้ Bern สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้วโดยมีแม่น้ำ Aare ล้อมรอบตัวเมือง แม่น้ำแห่งนี้เปรียบเหมือนปราการธรรมชาติซึ่ง ป้องกันเมืองไว้ทั้ง สามด้านสำหรับด้านที่สี่ชาว เมืองได้สร้างกำแพงและสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ และโดยการรักษาผังเมืองให้มีสภาพดังเดิมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา Bernจึงได้รับการ ประกาศ ให้เป็นมรดก โลกของ UNESCO ซึ่งเป็นเมืองเดียวในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ การเดินชมเมือง ควรเริ่มจาก Rose Garden เพียง 5 นาทีก็จะพบกับบ่อเลี้ยง หมีของเมือง ( หมี เป็น สัญลักษณ์ของ Bern )



Jungfraujoch หลังคาแห่งยุโรป
หลังคาแห่งยุโรป ล่าสุดได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกของUnescoเมื่อเดือนธันวาคม 2544 สถานีรถไฟสูงที่สุดในยุโรป ที่ไม่สามารถลืมไปได้ ในการทัศนาจรภูเขา ซึ่งมีความ สูงถึง 3454เมตร พบกับสิ่งสวยงามที่นี่คือ วังน้ำแข็ง และทัศนียภาพ ที่งดงามประกอบ ไปด้วย Sphinxหอคอยชมทัศนียภาพ ที่อยู่เหนือ ธารน้ำแข็ง Aletsch ( ยาวที่สุดในเทือกเขา Alps ) และยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกันนี้ยังจะเดินเล่นบนหิมะ นั่งกระดานเลื่อนโดยมีสุนัข Huskyลากสนามเล่นสกี สโนว์บอร์ท สำหรับฤดูร้อนหรือ ท่านที่ชอบการท้าทาย ก็มีการผจญภัยอีกหลายอย่าง รับรอง 100% ท่านจะพบกับ หิมะ และน้ำแข็งที่นี่






ล่องเรือในทะเลสาบและชมปราสาทโบราณ
ล่องเรือในทะเลสาบ Thun และ Brienz ในวงล้อมของภูเขาสูง แวะชมปราสาท Thun ที่สร้างขึ้นใน ศตวรรษที่ 12 และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงในห้องโถงใหญ่ของปราสาท เปิดให้ชมระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนตุลาคม Spiezชมปราสาท โบราณที่เปิดรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ค่าโดยสารเรือฟรีโดยใช้สวิสพาสส์



Lausanne 
เมืองโลซานน์เป็นเมืองที่สงบ และงดงามมากอยู่ติดกับทะเลสาบ เจนีวามีท่าเรือข้ามไปสู่ ประเทศฝรั่ง เศสได้ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โอลิมปิค ซึ่งท่านจะพบกับการแสดงอันยิ่งใหญ่ ของวินาทีแห่ง ประวัติศาสตร์ โอลิมปิคกับสุดยอด Special Effect ที่จะทำให้คุณย้อนกลับไปอยู่ ใน เหตุการณ์จริง ชมหลักฐานที่ สำคัญต่างๆ ในซุ้มนิทรรศการ ห้องจัดแสดงงาน ศูนย์ข้อมูลพร้อมศูนย์อำนวย ความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน รับฟรีบัตรเข้าชม Olympic Museum สำหรับท่านที่จอง สวิตเซอร์แลนด์แพคเก

ที่มาข้อมูล http://www.qetour.com/travel-guide/switzerland-travel-guide.phpจ 

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

“เทพีไอซิส” เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์


เทพีไอซิสเป็นธิดาของรา RA สุริยเทพผู้ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ซึ่งมีโอรสและธิดา ๕ องค์ด้วยกัน ทั้งเทพีไอซิสและเทพโอซิริส (Osiris) ต่างก็เป็นบุตรของรา ที่ได้อภิเษกกันเอง เฉกเดียวกับเทพเซตและเทพีเนพทิส จะมีก็เพียงเทพฮามาคิสเท่านั้นที่ไม่ได้อภิเษกกับผู้ใด

ในความเชื่อของขาวอียิปต์ ต่างยกย่องให้ไอซิสเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ขณะที่เทพโอซิริสเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังยกย่องให้เทพีไอซิสเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อสามีตัวเองอย่างไม่เสื่อมคลาย และยังเชื่อว่าพระนางเป็นผู้สอนให้ชาวอียิปต์รู้จักการทำกสิกรรม รู้จักการทำแป้งสาลี ปั่นด้ายทอผ้า รวมทั้งการรักษาโรคขั้นพื้นฐานต่างๆอีกด้วย ในปัจจุบันหลายคนอาจสับสนระหว่างเทพีไอซิสกับเทพีฮาเทอร์ที่มักจะมีสัญลักษณ์คล้ายๆ กัน นักวิชาการทางไอยคุปต์กล่าวสรุปไว้ว่าให้สังเกตุที่เทพีไอซิสจะอยู่ร่วมกับเทพโอซิริสและเทพฮอรัส ขณะที่เทพีฮาเทอร์นั้นมักพบรูปสลักของพระนางในกริยาดูแลทารกและรับใช้กษัตริย์

ตามผนังของวิหารต่างๆ เราจะพบภาพของเทพีไอซิสที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ บนเศียรเสมอ เช่น สัญลักษณ์ที่เป็นแผ่นวงกลมที่เรียกกันว่าแผ่นสุริยะ ติดอยู่ระหว่างเขาวัว บางครั้งเศียรของพระนางก็เป็นหัววัวเสียเองกล่าวว่าช่วงนั้นพระนางได้รับคำแนะนำจากเทพเจ้าทอตให้แปลงร่างเพื่ออำพรางตัวจากเทพเซต แต่บางครั้งเราอาจเห็นเทพีไอซิสมีเศียรประดับด้วยจันทร์เสี้ยว หรือบางครั้งก็จะเป็นดอกบัวขาวบ้างก็มีแซมด้วยดอกข้าวสาลี

วิหารที่ถือว่าเป็นของเทพีไอซิสนั้น คือวิหารแห่งฟิเล่ เป็นเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำไนล์ ถือเป็นวิหารขนาดเล็กที่สวยงาม ภายในประดับประดาด้วยภาพแกะสลักบนแผ่นหิน จารึกเกี่ยวกับความรักของพระนางที่มีต่อสวามีเทพโอซิริสและโอรสของพระนางเทพฮอรัส แม้ว่าตำนานรักของพระนางจะถูกเสริมเติมแต่งมากมาย แต่ข้อใหญ่ใจความที่ทำให้หลายคนอดทึ่งและรู้สึกศรัทธาต่อพระนางไม่ได้ก็คือ เรื่องการของออกตามหาร่างของสวามีที่ถูกน้องชายปองร้าย

หลังจากเทพโอซิริสและเทพีไอซิสขึ้นครองบัลลังค์ต่อจากเทพราแล้วก็ยังความริษยามาสู่เทพเซตอย่างล้นเหลือ จนกระทั่งออกอุบายลวงพี่ชายตัวเองด้วยปรารถนาในบัลลังก์ เทพเซตจึงสร้างหีบขึ้นมาอย่างวิจิตรงดงาม และนำไปถวายแด่เทพโอซิริส โดยมีข้อแม้ให้เทพโอซิริสเสด็จทอดร่างลงไปในหีบใบนั้น
ด้วยความวิจิตรงดงามทำให้เทพโอซิริสมิได้เอะใจถึงความร้ายกาจของอนุชาตัวเอง พระองค์เสด็จลงไปทอดร่างในหีบพร้อมกับที่เทพเซตผนึกฝาแน่นสนิทแล้วนำไปลอยในแม่น้ำไนล์ หีบนั้นลอยไปติดกับอยู่กับต้นทามาริสต์กระทั่งกิ่งก้านของมันห่อหุ้มหีบจนมิดชิด ราชาแห่งนครไบลอสนำต้นไม้ดังกล่าวไปสร้างเป็นเสาประดับในท้องพระโรงของตัว โดยไม่ได้รู้ว่าภายในมีหีบบรรจุร่างของเทพโอซิริสอยู่….

ข้างฝ่ายเทพีไอซิสได้ออกตามหาร่างของสวามีกระทั่งรู้ว่าอยู่ในเมืองไบลอสจึงจำแลงร่างเป็นหญิงชราเพื่อเข้าไปดูแลโอรสแห่งราชาไบลอสทุกค่ำคืนพระนางจะลอบมาร่ำไห้กับเสาที่บรรจุร่างของเทพโอซิริส จนกระทั่งราชินีแห่งไบลอสรู้ความจริง และด้วยความเห็นใจ จึงมอบเสาต้นนั้นกลับคืนให้แก่เทพีไอซิส กลับไปยังเกาะแซมมิส ที่หลบซ่อนตัวจากเทพเซต เทพเซตยังไม่หยุดความอำมหิต ยังคงตามมาราวีถึงเกาะแซมมิส พร้อมฉีกร่างของเทพโอซิริสออกเป็น ๑๔ ชิ้น แล้วเหวี่ยงกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ เทพีไอซิสไม่ละความพยายาม พระนางยังเร้นตัวออกตามหาร่างกายของสวามีตัวเอง ดินแดนที่พบชิ้นส่วนพระนางจะสร้างเสาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์กระทั่งครบทั้ง ๑๔ แห่ง

จากนั้นพระนางได้นำชิ้นส่วนทั้งหมดของเทพโอซิริสมาประกอบ พร้อมชโลมด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้วห่อด้วยผ้าขาวเนื้อดี เพื่อให้เทพโอซิริสมีชีวิตเป็นนิรันดร์ กล่าวกันว่านี่คือต้นกำเนิดการทำมัมมี่ของอียิปต์ นึกถึงความพยายาม ความอดทน บากบั่นในการค้นหาเทพโอซิริสของเทพีไอซิสแล้ว ทำให้หลายคนยกย่องว่านี่คือตำนานรักที่ยิ่งใหญ่ตำนานหนึ่ง



ที่มาข้อมูล http://zybernia.wordpress.com/2009/03/19/isis-queen/

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ศิลปกรรมลัทธินีโอคลาสสิก( Neo-classicism art)

ศิลปะนีโอ-คลาสสิกอิสม์ (Neo-Classicism)
ปลายคริสต์ศตวรรษที่18-ต้นคริสต์ศตวรรษ ที่ 19 นับตั้งแต่ศิลปะนีโอ-คลาสสิกอิสม์เป็นต้นไป นักประวัติศาสตร์ศิลปะได้จัดให้เป็นช่วง ของศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) โดยเริ่มประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อันเป็นช่วงการ ปฏิวัติในฝรั่งเศส เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ได้มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในยุโรป ยุคแห่งอำนาจ และการรวมศูนย์ของกษัตริย์เริ่มเสื่อมคลาย ประชาชนเรียกร้องสิทธิเสรีภาพอย่างเข้มแข็ง โดย เฉพาะเสรีภาพในความคิดเห็นเพื่อไม่ให้ผูกขาดอยู่ที่ผู้มีอำนาจผู้เดียวจนเกิดระบบเสรีนิยม ดังนั้นในช่วงนี้ศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์งานอย่างเต็มที่ไม่ยึดติดกับประเพณีเก่าๆศิลปินใดที่มีอุดมการณ์เดียวกันก็เกิดการรวมกลุ่ม ตั้งเป็นลัทธิศิลปะ (ด้วยเหตุนี้ศิลปะส่วนใหญ่ในช่วงนี้ มักลงท้ายด้วย “ism” ซึ่งหมายถึง กลุ่มลัทธิ) จึงทำให้มีแบบอย่างของศิลปะต่างๆมากมายประกอบกับช่วงนี้มีการปฏิวัติทางด้านวิทยาศาสตร์ จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำ คัญ ทั้งด้านวัสดุ วิธีการ และรูปแบบ ดังนั้นหากเรายอมรับว่าช่วงนี้เป็นยุคแห่งการปฏิวัติ (The Age of Revolution) ทั้งหมดแล้ว คงไม่มีคำใดเหมาะสมกว่าที่จะเรียกว่า “สมัยใหม่”

ศิลปะนีโอ-คลาสสิกอิสม์เกิดขึ้นครั้งแรกที่โรม ประเทศอิตาลี จากนั้นกระจายไปที่ต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ทั้งนี้เป็นผลพวงจากการสำ รวจขุดค้นโบราณวัตถุ และโบราณสถาน สมัยโรมันเพิ่มเติม เช่น ที่เมืองเฮอคูลาเนียม (Herculaneum) และปอมเปอี (Pompeii) ความจริงในสมัยก่อนๆ มีการสำรวจขุดค้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อขุดค้นขึ้นใหม่ซึ่งครั้งนี้ทำอย่างถูกหลักวิชาการจึงเท่ากับเพิ่มความท้าทายให้กับมนุษย์ยิ่งขึ้นจากสิ่งที่เคยคิดเคยฝันมาโดยตลอดประกอบกับในครั้งนี้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การขุดค้นด้านโบราณคดีอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความนิยมชมชอบโดยทั่วไปและหันมารื้อฟื้นรูปแบบของศิลปะสมัยกรีกและโรมันขึ้นมาอีกครั้งดังนั้นคำว่า นีโอ-คลาสสิก จึงเป็นคำที่มีความหมายตรงตัว คือ นีโอ (Neo) หมายถึง ใหม่ คลาสสิก (Classic) หมายถึง กรีกและโรมัน ซึ่งรวมความแล้วหมายถึง ความเคลื่อนไหว ของศิลปะ ซึ่งมีสุนทรียภาพตามแบบศิลปะกรีกและโรมัน ที่เกิดขึ้นในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่19 การถือกำเนิดของ ศิลปะนีโอ-คลาสสิกอิสม์ ยังเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ ดังเช่น คริสต์จักรแห่งวาติกันได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ความเบื่อหน่ายต่อศิลปะบาโรกและโรโกโก (Baroque and Rococo) ซึ่งมีรสนิยมอันหรูหราฟุ่มเฟือย หรือมุ่งเอาใจชนชั้นสูงมากเกินไป สิ่งเหล่านี้ศิลปินและปัญญาชนสมัยนั้นต่างถือว่า ไม่ใช่ความงามสมบูรณ์แบบ ตามคตินิยมของกรีกและโรมัน พวกเขายึดมั่นในอุดมคติของกรีกและโรมันดังนั้นรูปแบบความงามและเนื้อหาต่างๆ จึงเต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์ ความ ชัดเจน เหตุผล ความมีสัดส่วน และความเสมอภาค คล้ายศิลปะกรีกและโรมัน มีเพียงวัสดุและวีธีการก่อสร้างที่ เปลี่ยนแปลงบ้างตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

จิตรกรรมส่วนใหญ่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยกรีกและโรมัน หรือเรื่อง ราวในชีวิตประจำวันทั่วไป ภาพคนจะเขียนอย่างถูกต้องตามหลักกายวิภาค มีท่าทางสง่าผ่าเผย มีการใช้สีถูกต้องตามแสงเงา ไล่เฉดสีอ่อนแก่เพื่อให้เกิดความกลมกลืน มีสัดส่วนและ ความเด่นชัด บางครั้งแสดงออกถึงแนวคิดใหม่ๆ จิตรกรที่สำ คัญ ได้แก่ ชาก ลุย ดาวิด (Jacques Louis David) ชอง โอกุสต์ โดมีนีก แองกร์ (Jean Auguste Dominique lngres) เป็นต้น

ประติมากรรมมีสัดส่วนถูกต้อง ยึดระเบียบแบบแผนจากสมัยกรีกและโรมันอย่างเคร่งครัด ประติมากรรมคนมักใช้ใบหน้าจากแบบจริงผสมผสานกับรูปร่างแบบสมัยคลาสสิก แต่ก็ดู เหมือนให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาน้อยกว่าสมัยเรอเนสซองซ์และบาโรก ประติมากรที่สำ คัญ ได้แก่ อันโตนีโอ คาโนวา (Antonio Canova)

สถาปัตยกรรมนีโอ-คลาสสิกอิสม์ นับว่ามีอิทธิพลอย่างมากทั้งในยุโรปและอเมริกา ตลอดจนประเทศต่างๆที่เป็นอาณานิคมของยุโรป ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ ศตวรรษที่ 19 มีลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรมกรีกและโรมันทั้งแบบของเสาและการตกแต่งแต่ส่วนใหญ่มีรายละเอียดน้อยกว่าศิลปะบาโรกและโรโกโก อีกทั้งดัดแปลงผสมความคิดใหม่ๆ เข้า ไปด้วย การตกแต่งด้านหน้านิยมลวดลายนูนตื้นๆ ไม่หรูหรามากนัก ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็น ลายทรงเรขาคณิต) สถาปนิกที่สำ คัญ ได้แก่ โธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson)

ที่มาข้อมูล   http://www.artcassic.ob.tc/index2.html