วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเทศฝรั่งเศส

ประเทศฝรั่งเศส

 


 
สาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก
 ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่น ๆ ในต่างทวีป
ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษ
และทะเลเหนือและจากแม่น้ำไรน์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก
ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L'Hexagone)
 
 
ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี
 โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง
ประเทศฝรั่งเศสมีพรมแดนติดกับประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์

 อิตาลี โมนาโก อันดอร์ราและสเปน และเนื่องจากประเทศฝรั่งเศส
มีดินแดนโพ้นทะเลไว้ในครอบครองทำให้มีอาณาเขตติดกับประเทศบราซิลและซูรินาเม
(ติดกับเฟรนช์เกียนา) และเนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส (ติดกับแซ็ง-มาร์แต็ง) อีกด้วย
 
 
 นอกจากนั้นประเทศฝรั่งเศสยังเชื่อมกับสหราชอาณาจักรทางอุโมงค์ช่องแคบอังกฤษด้วย
ประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17
 ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 จักรวรรดิฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศจักรวรรดินิยม
ที่มีอาณานิคมในครอบครองมากที่สุดในโลก แผ่อาณาเขตตั้งแต่แอฟริกาตะวันตกจนถึงเอเชียอาคเนย์
ซึ่งเห็นได้ชัดจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม ภาษาและการเมืองการปกครองของดินแดนนั้น ๆ
ประเทศฝรั่งเศสถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกอีกด้วย
โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 82 ล้านคนต่อปี 
ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศ
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นประเทศผู้ก่อตั้งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกประชาคม
ผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสโลก จีแปด นาโต้และสหภาพละติน
ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
และเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 360 หัวรบและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 59 แห่ง
 

 

โบสถ์นอเทรอดาม แห่งเมืองแรงส์

 
 

โบสถ์นอเทรอดามเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศส (ช่วงต้นของศตวรรษที่ 12)
 ในรูปแบบโกธิค  ซึ่งตั้งอยู่ที่ Parvis โบสถ์แห่งนี้เป็นผลงานของ Maurice de Sully
และ Pierre de Montreuil โบสถ์นี้มีชื่อเสียงเนื่องจาก  เป็นสถานที่จัดงานสำคัญ ๆ
 เช่น งานสถาปนา และพิธีสวมมงกุฎจักรพรรดินโปเลียน
 
 

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

 
 
ที่ตั้ง : เมืองแรงส์ จังหวัดมาร์น แคว้นชองปาญ-อาร์แดน ประเทศฝรั่งเศส
เมืองแรงส์ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ราว 129 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ของปารีสแรงส์  ก่อตั้งขึ้นโดยกอล และ กลายมาเป็นเมืองสำคัญระหว่างสมัยจักรวรรดิโรมัน
ต่อมาแรงส์ก็มามีบทบาทสำคัญต่อราชบัลลังก์ฝรั่งเศสในการเป็นสถานที่สำหรับการทำ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสที่มหาวิหารโนเทรอดามแห่งแรงส์
ภูมิประเทศ : ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก มีพื้นที่ 543,935
ตารางกิโลเมตร (210,013 ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุด
ในกลุ่มสหภาพยุโรป ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก
ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก
ปจนถึงเทือกเขาแอลป์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ราบสูงมาสซิฟ ซองตราล
 ทางภาคใต้ตอนกลางและเทือกเขาปีเรเนส์ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้
ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ ยอดเขามงต์บล็องก์
หรือ มองต์บลังก์ (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807 เมตร(15,770 ฟุต) ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์
บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี
 ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรป ยังมีแม่น้ำต่างๆ ที่สำคัญอีกมากมาย
 เช่น แม่น้ำลัวร์,แม่น้ำการอนน์,แม่น้ำแซนและแม่น้ำโรนซึ่งแบ่งที่ราบสูงมาสซิฟ
ตราลออกจากเทือกเขาแอลป์อีกด้วย โดยไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่กามาร์ก
ซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในประเทศฝรั่งเศส (2เมตร หรือ 6.5 ฟุต จากระดับน้ำทะเล)
และยังมีกอร์ส (คอร์ซิกา) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
 
 

ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์



มหาวิหารแรงส์ หรือ มหาวิหารโนเทรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Reims)
เป็นมหาวิหารของเมืองแรงส์ ประเทศฝรั่งเศส เมืองแรงส์ก่อตั้งขึ้นโดยกอล
 และ กลายมาเป็นเมืองสำคัญระหว่างสมัยจักรวรรดิโรมัน
ต่อมาแรงส์ก็มามีบทบาทสำคัญต่อราชบัลลังก์ฝรั่งเศส
ในการเป็นสถานที่สำหรับการทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสที่มหาวิหารโนเทรอดามแห่งแรงส์
มหาวิหารแรงส์ หรือ มหาวิหารโนเทรอดามแห่งแรงส์
 ยังเคยใช้ในพิธีสวมมงกุฎกษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศส
มหาวิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างบนมหาวิหารเดิมที่ถูกไหม้ไปเมื่อค.ศ. 1211
ที่พระเจ้าโคลวิสที่ 1 ผู้ถือกันว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกของฝรั่งเศส
ได้ทำพิธีรับศีลจุ่มจากนักบุญเรมี(St.Remi)
บาทหลวงของเมืองแรงส์ เมื่อค.ศ. 496
 
 

 ผู้สร้าง/ยุคสมัยที่สร้าง/การก่อสร้าง



มหาวิหารสร้างเสร็จเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13
ยกเว้นด้านหน้าซึ่งมาเสร็จเอาอีกศตวรรษหนึ่งต่อมา
 แต่ยังเป็นสถาปัตยกรรมของคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางเดินกลางขยายให้ยาวขึ้น
เพื่อให้มีเนื้อที่เพียงพอกับผู้ที่เข้าร่วมพิธีสวมมงกุฎ หอสูง 81 เมตร
ย่อจากแบบเดิมที่ออกแบบให้สูง 120 เมตร
 หอด้านใต้มีระฆังสองใบ ใบหนึ่งคาร์ดินาลแห่งลอเรนตั้งชื่อให้ว่า “ชาร์ลอต”
 เมื่อปีค.ศ. 1570 ซึ่งหนักกว่า 10,000 กิโลกรัมหรือ 11 ตัน
เมื่อปี ค.ศ. 1875 รัฐสภาแห่งประเทศฝรั่งเศสอนุมัติเงินจำนวน 80,000 ปอนด์
เพื่อปฏิสังขรณ์ด้านหน้ามหาวิหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของมหาวิหาร
 และนับว่าเป็นงานฝีมือชิ้นเอกจากยุคกลาง เมื่อมหาวิหารโดนระเบิดระหว่างสงครามโลก
ครั้งที่หนึ่งก็ได้ทำลายบริเวณสำคัญๆ ของมหาวิหารไปมาก การบูรณะปฏิสังขรณ์เริ่มอีกครั้ง
เมื่อปี ค.ศ. 1919 และมาเสร็จเมื่อในปี ค.ศ. 1938

แต่การซ่อมก็ยังทำต่อเนื่องกันมาโดยมิได้หยุดยั้งจนทุกวันนี้
 
 

 รูปแบบศิลปะและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม

 
 
ประตูทางเข้าด้านหน้ามีสามบาน แต่ละบานเต็มไปด้วยรูปปั้นทั้งใหญ่และเล็ก
ประดับประตูกลางอุทิศให้กับพระแม่มารี เหนือประตูแทนที่จะเป็นหน้าบันหินแกะสลัก
กลับเป็นหน้าต่างกุหลาบกรอบเป็นซุ้มโค้งที่ประกอบไปด้วยรูปปั้น
เหนือระดับประตูเป็นระเบียงตรงกลาง และด้านล่าง
เหนือประตูจะมีหน้าต่างกุหลาบบานใหญ่อีกบานหนึ่ง
ถัดขึ้นไปจากนั้นเป็นระเบียงรูปปั้นพระเจ้าแผ่นดิน (gallery of the kings)
ซึ่งมีรูปปั้นพระเจ้าโคลวิสที่ 1 รับศึลจุ่มอยู่ตรงกลาง
ด้านหน้าทางแขนกางเขนด้านเหนือและใต้ตกแต่งด้วยรูปปั้น

ทางด้านเหนือเป็นบาทหลวงของแรงส์ และการตัดสินครั้งสุดท้าย (Last Judgment)
 และรูป “พระเยซูผู้งดงาม” (“le Beau Dieu”)
 ทางด้านใต้เป็นหน้าต่างกุหลาบ   สมัยใหม่เรื่องศาสดาและสาวก 12 องค์  เมื่อปี ค.ศ. 1481
ไฟไหม้หลังคาวัดและทำลายหอคอยสี่หอที่สูงกว่าหลังคาจนราบลงมาแค่ระดับหลังคา
เหนือบริเวณสงฆ์ขึ้นไปเป็นหอระฆังไม้หุ้มด้วยตะกั่วสูง 18 เมตร
สร้างเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 และซ่อมเมื่อปี ค.ศ. 1920
ทางเดินกลางของมหาวิหารยาว 138.75 เมตร กว้าง 30 เมตร สูง 38 เมตร
ทางเดินกลางขนาบด้ายทางเดินข้าง แขนกางเขนก็เป็นทางเดินหลายช่อง

บริเวณสงฆ์เป็นทางเดินคู่ หลังมุขมีทางเดินรอบ
และคูหาสวดมนต์กระจายออกไปทางด้านหลัง
 ภายในมีหน้าต่างประดับกระจกสีที่สร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 20 ประดับ
นอกจากนั้นทางมหาวิหารยังมีพรมทอแขวนผนัง (tapestries)

ชุดที่มีค่าที่สุดถวายให้แก่วัดโดยโรเบิร์ต เดอ เลนองคอรต์ (Robert de Lenoncourt)
ผู้เป็นอัครบาทหลวงในสมัยพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 เป็นเรื่องพระแม่มารี
ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่วังเทา (Palace of Tau) ซึ่งเดิมเป็นที่ประทับของบาทหลวง
 ทางด้านเหนือแขนกางเขนมีออร์แกนในตู้แบบกอธิควิจิตร (Flamboyant Gothic)
นาฬิกาที่ตกแต่งด้วยกลไกที่สวยงามและงานหน้าต่างประดับกระจกสี
โดยศิลปินมีชื่อเสียงชาวรัสเซีย มาร์ค ชากาล (Marc Chagall) ที่ติดตั้งเมื่อ ค.ศ. 1974
มหาวิหารโนเทรอดามแห่งแรงส์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถาน
ทางประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 1862 มหาวิหารโนเทรอดามแห่งแรงส์
ได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1991

 


 แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง

  
สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้[3] หอไอเฟล (6.2 ล้าน) , พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (5.7 ล้าน) ,
 พระราชวังแวร์ซายส์ (2.8 ล้าน) , พิพิธภัณฑ์ออร์เซ (2.1 ล้าน) , ประตูชัยฝรั่งเศส (1.2 ล้าน) ,
 ซองตร์ ปอมปิดู (1.2 ล้าน) , มงต์-แซงต์-มิแชล (1 ล้าน) , ชาโต เดอ ชองบอร์ด (711,000) ,
 แซงต์-ชาแปลล์ (683,000) , ชาโต ดู โอต์-โคนิคบูร์ก (549,000) , ปุย เดอ โดม (5 แสน) ,
 พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ (441,000) และการ์กาสซอนน์ (362,000)

 


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

 
 
 
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
 ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้
เมื่อปี พ.ศ. 2336 มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง
ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวงซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงาน
ทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา,
The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โดดาวินชี
 หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antiochในปี พ.ศ. 2549
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์
ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส


พระราชวังแวร์ซายน์

 
 
 
พระราชวังแวร์ซายน์ อยู่ในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสเป็นพระราชวังที่สวยงามน่ามหัศจรรย์ยิ่ง
แห่งหนึ่งของโลกสมัยปัจจุบัน สร้างโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
 มีอัลเครด เลอ นอสเตอ์เป็นสถาปนิกลงมือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1661 สร้างอยู่นาน 30 ปีจึงแล้วเสร็จ
สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 500,000,000ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000 คน
ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก
 ภายในพระราชวังแวร์ซายน์แบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ
เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง
ห้องออกว่าราชการ ทุกห้องมีเครื่องประดับประดาล้วนแต่มีค่าสูงมากมายทั้งวัตถุ
และภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อมากที่สุดของพระราช วังแห่งนี้ก็คือห้องกระจก
 ซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึก ระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมัน
ในมหายุทธสงครามโลกครั้งแรกและเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส
ในมหายุทธสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้ง
ฝรั่งเศสจะประกาศให้กรุงปารีสเป็นเขตปลอดสงครามคือไม่มีทหารตั้งอยู่ทั้งนี้
เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังแห่งนี้ต้องได้รับความเสียหายจากการโจมตีของข้าศึก


ประตูชัย

 
 
 
ประตูชัยนี้ ตั้งอยู่บนถนนช็อง-เอลิเซ่ส์ ที่ตำบลเอตัวล์ บริเวณจตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Etoile)
 เป็นประตูชัยที่สร้างโดยสถาปนิก ชื่อ ช็อง ชาลแกร็ง (Jean Chalgrin)

ในสมัย พระเจ้านโปเลียนที่1 และเสร็จในสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปส์ (ค.ศ 1810-1836)
สูง 50 เมตร หนา 50 เมตร และกว้าง 45 เมตร
 ที่ผนังด้านในใต้ส่วนโค้งมีการตกแต่งด้วยรูปสลักอันสวยงามต่างๆเช่น
 ผลงานชื่อ เดอปาร์ต เดส์ โวล็องติเอส หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ลา มาร์แซย์แยส (La Marseillaise)
 และผลงานเกี่ยวกับชัยชนะทางทิศตะวันตก ของ พระเจ้านโปเลียน
 ที่ตอนบนของส่วนโค้งเป็นภาพนูนต่ำ แสดงถึงพิธีศพของ มาร์โซ (Marceau)
 สงครามอาเล็กซานเดรีย (Alexandrie) ออสเตร์ลิทซ์ (Austerlitz)
มิวซีโดแรง บ้านของประติมากรเอกแห่งฝรั่งเศส ออกุสต์ โรแดง ซึ่งได้กลายเป็น
พิพิธภัณฑ์แสดงผลงานที่ล้ำค่าที่โรแดงได้ทิ้งเอาไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ
ผู้ที่รักศิลปะไม่ควรพลาดการไปเยี่ยมชมที่นี

 

หอไอเฟล

 
 
 
 
 
ฝรั่งเศส หอคอยโครงสร้างเหล็ก ที่ Champ de Mars บริเวณแม่น้ำแซน ในเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส สถานที่และสัญลักษณ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสก่อสร้างในปี พ.ศ. 2432 โดยกุสตาฟไอเฟล
 ผู้ออกแบบคนเดียวกับเทพีเสรีภาพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889
 ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการ ปฏิวัติอุตสาหกรรม หอไอเฟลทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น
หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 2,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต
สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401ฟรังก์แรกๆ ที่หอไอฟสร้างเสร็จ
หอไอเฟลได้รับการประณามโดยทั่วไปว่าเป็นไอเดียที่ประหลาดและไม่เข้าท่า
หอคอยไอเฟลได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในช่วงเวลา พ.ศ. 2432 ถึง 2473
 ในปัจจุบัน หอคอยไอเฟลมีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมประมาณ5.5ล้านคนต่อปี
นับเป็นหนึ่งใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
 
 

ของที่ระลึก

 
 
นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบประเทศฝรั่งเศสต้องรู้จักข้าวของเครื่องใช้ที่เลื่องชื่อในประเทศฝรั่งเศส
น้ำหอม คือสิ่งแรกที่คุณคิดจะซื้อจากฝรั่งเศสอย่างแน่นอน

เพราะประเทศนี้นั้นมีชื่อเสียงในการทำน้ำหอมอย่างมาก
 ฝรั่งเศสนั้นมีชื่อเสียงในด้านการผลิตน้ำหอมที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโลกเลยทีเดียว
ใครไปเที่ยวฝรั่งเศสก็มักจะซื้อยี่ห้อที่ฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับแล้วราคาจะถูกกว่า
ที่นำมาขายในต่างประเทศมาก 

มืองที่มีชื่อเสียงและมีโรงงานผลิตหัวน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ
ได้แก่ เมืองกราส ทางตอนใต้ของประเทศ ยี่ห้อน้ำหอมที่ขึ้นชื่อที่ฝรั่งเศสเป็นต้นตำรับ
ได้แก่ Christian Dior, Civenchy, Rochas, Guerlain, Paco Rabanne
เครื่องสำอางเครื่องสำอางนานาชนิด นับตั้งแต่ครีมบำรุงผิว 
แป้งฝุ่น ลิปสติก
อายแชโดว์ มาสคาร่า อายไลเนอร์ ฯลฯ  ที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยล้วนผลิตในฝรั่งเศส
ช่น Lancome, Orlane,Yves Saint Laurent ฯลฯ

เสื้อผ้าและสินค้าแฟชั่นทุกคนรู้จักฝรั่งเศสดีในนามของดินแดนแห่งแฟชั่นชั้นนำ
 เพราะ ที่นี่เป็นศูนย์รวมของดีไซเนอร์ชื่อดัง และเป็นต้นฉบับของแฟชั่นทั่วโลกเลยก็ว่าได้
 ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของ Channel, Yves Saint Laurent, Nina Ricci, Guy Laroche, Pierre Cardin
กระเป๋าและเครื่องหนังที่มีชื่อเสียงสุดๆ และเป็นที่นิยมสำหรับคนไทยก็คือ Channelและ Louis Vuitton
เรียกได้ว่าถึงขนาดเข้าคิวกันซื้อเลยทีเดียว ร้านขายของที่ระลึกในฝรั่งเศสมีอยู่ทั่วไปตามสถานที่ท่อง
เที่ยวต่างๆและมักมีราคาแพงพอสมควร คือประมาณ 100 บาทขึ้นไปแต่ด้วยความสวยงามและยั่วยวนใจ
ของนานาสินค้าหลากหลายอาจทำให้นักท่องเที่ยวหลงลืมคิดเทียบเงินฟรังค์กับเงินบาทเลยทีเดียว
 
 
แหล่งที่มาของข้อมูล :http://pirun.ku.ac.th/~b4913134/tralvel.html
                                   http://th.wikipedia.org/wiki/
                                   http://abroad-tour.com/france/ville_de_rheims/notre_dame_de_reims.html
                               

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
 
 
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์  หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์กาเปเซียง ตัวอาคารเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา,The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่งแอนทีออก ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกและยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
 
 
พิพิธภัณฑ์นี้เป็นตึก 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องถึง 225 ห้อง มีลวดลายสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ติดกับแม่น้ำแซน ภายในมีวัตถุโบราณซึ่งเป็นศิลปะอันล้ำค่าจากชาติต่างๆที่ฝรั่งเศสเคยมีอิทธิพลปกครองมาในอดีต ส่วนใหญ่ได้มาจากตะวันออกกลางและอาณานิคมจากประเทศในเอเซีย เช่น รูป La Victoire de Samothrace, Vénus de Milo พิพิธภัณฑ์นี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันอังคารและวันหยุดของทางราชการ วันพุธและวันอาทิตย์เปิดให้เข้าชมฟรี
 
ในปี 1981 Monsieur Ioeh Ming Pei สถาปนิกชาวอเมริกัน ได้เริ่มโครงการสร้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปิรามิดแผ่นแก้ว ครอบคลุมเนื้อที่บนลาน Napoléonเพื่อเป็นจุดรวมของทางเข้าพิพิธภัณฑ์อันเป็นศูนย์กลางที่ให้ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ใช้เป็นสถานที่นัดพบ ประชาสัมพันธ์ จุดเริ่มต้นของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีที่สำหรับนั่งพักผ่อน แผนกรับฝากของ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่รับแลกเปลี่ยนเงิน สำนักงานท่องเที่ยว แผนกต้อนรับ ห้องประชุม เอนกประสงค์ขนาด 430 ที่นั่ง ห้องสมุด ร้านค้า ภัตตาคาร รวมถึงแผนกบริหารงานบุคคล ห้องเก็บของ ห้องสำหรับงานบูรณะปฏิสังขรณ์ ห้องปฎิบัติการทดลองด้วย การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1995 รวมเวลา 14 ปี
 
 
แหล่งที่มาของข้อมูล : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%9F%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C

เทศกาลประจำปีของสเปน

เทศกาลวิ่งวัวกระทิง
 
125500418761.jpg


 เทศกาลวิ่งวัวกระทิงจัดขึ้นทั้งหมดเก้าวัน โดยการวิ่งวัวรอบแรกเริ่มต้นด้วยการปล่อยวัวกระทิงหกตัวออกมาจากคอกเพื่อไล่ คนที่วิ่งหนีอุตลุดไปตามถนนแคบๆ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นสองนาทีกับอีกยี่สิบสามวินาที และท้ายที่สุดก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยสองคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียหนึ่งคน และชาวสเปนอีกหนึ่งคน
เทศกาลซาน เฟอร์มินนี้ จัดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่วันที่ 7-14 กรกฎาคมของทุกปี โดยเป็นเทศกาลที่มีผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเข้าร่วม ซึ่งนักวิ่งวัวกระทิงทั้งหลายเหล่านี้จะมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าหนึ่ง ชั่วโมงก่อนปล่อยวัวกระทิง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกตื่นเต้นและมีอะดรีนาลี นสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เป็นประสบการณ์วิ่งหนีเอาชีวิตรอดที่น่าประทับใจ


ทุกวันจะมีการปล่อยวัวกระทิงทั้งหมดหกตัวออกมาวิ่งตามถนนไปจนถึงวันสุดท้าย ของเทศกาล และระยะทางการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 846 เมตร โดยมีเวลาวิ่งเฉลี่ยตั้งแต่จุดเริ่มไปจนถึงเส้นชัยประมาณสามนาที วัวจะวิ่งจากคอกไปจนถึงสนามสู้วัวกระทิงที่พวกมันจะต้องสู้กับนักสู้วัว กระทิงในตอนบ่ายวันเดียวกัน เทศกาลวิ่งวิวกระทิงนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่สิบสาม แต่ในยุคปัจจุบันมีกลุ่มคนที่ต่อต้านเทศกาลนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์

 
เทศกาลปามะเขือเทศ
 

630.jpg

 
เทศกาลที่มีชื่อเสียงอันหนึ่งของสเปน แม้แต่คนไทยยังรู้จักกัน เพราะความแปลก คือ เทศกาลปามะเขือเทศ หรือ เรียกว่า La Tomatina ลา โตมาติ๊หน่า ในภาษาสเปน ซึ่งเฉลิมฉลอง เริ่มปามะเขือเทศใส่หัวกัน ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่เฉพาะเมือง บุนโยล (Bunyol) ทางภาคตะวันออกของสเปน ซึ่งอยู่ห่างจากบาเลนเซียไป 30 กิโลเมตร เทศกาลปามะเขือเทศนี้ ดุเดือด เข้มข้น ด้วย “ศึกปามะเขือเทศ” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธของสัปดาห์นั้น ชื่อก็บอก ว่าเป็นศึกปามะเขือเทศ ดังนั้น คนที่มาร่วมงานเทศกาลนี้ ทั้งชาวเมืองเอง และผู้มาเยือน ต่างก็ปามะเขือเทศใส่กันอย่างสนุกสนาน

ส่วนประวัติของการทำศึกปามะเขือเทศ ก็มีอยู่สองกระแส กระแสแรกบอกว่า ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มคนเกิดอยากจะแกล้งคนที่กำลังเดินถนนอยู่ในเมืองโดยร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย แต่เขาร้องเพลงและเล่นดนตรีประกอบได้ห่วยมาก ๆ คนในเมืองเลยตัดสินใจว่าน่าจะหาอะไรปาใส่มันซะหน่อย หันไปหันมา เจอมะเขือเทศ เออ ก็เอามะเขือเทศนี่ละว้า ปาใส่เจ้านักร้องเสียงหลง แถมยังปาผักและผลไม้อื่นๆ ใส่ไปด้วย แล้วก็มีคนมาช่วยปาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้าย กลายเป็นศึกปามะเขือเทศใส่กันเองไป
 
 
ส่วนอีกกระแสหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อถือมากที่สุด บอกว่า เริ่มจากในปี ค.ศ. 1945 บริเวณทาวน์ สแควร์ ที่จัดศึกปามะเขือเทศในปัจจุบัน นั้นมีคนหนุ่มสาว พากันมาดูขบวนพาเหรด "Gigantes y Cabezudos" กิอ๊านเต่ส อี ก่าเบ๊ซูโดส ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่โชว์ยักษ์แบบต่าง ๆ ที่มีหัวโคตรน่าเกลียด แล้วหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ได้เข้ามาร่วมในวงดุริยางค์ในขบวนพาเหรด แล้วก็ไปผลักคนที่แต่งตัวเป็นยักษ์หัวหน้าเกลียดในขบวนเข้า เจ้ายักษ์ตัวหนึ่งล้มลง พอลุกขึ้น ก็ชกต่อยทุกคนรอบ ๆ ทีนี้ทุกคนเลยต่อสู้กันนัวเนียไปหมด พอดีมีแผงขายผลไม้อยู่ข้างทาง พวกหนุ่มสาวเหล่านั้น เลยไปคว้ามะเขือเทศมาปาใส่กัน จนกระทั่งตำรวจต้องเข้ามายุติศึกในครั้งนั้น แต่พวกในขบวนก็ยังไม่หายแค้น เพราะต้องเป็นคนจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดด้วย พอปีต่อมา เป็นวันพุธเดิม ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม พวกหนุ่มสาวจอมซ่าส์ก็มาเจอกับพวกในขบวนพาเหรดอีกครั้ง คราวนี้ ขนมะเขือเทศกันมาเอง แล้วก็เริ่มทำศึกกันในวันนั้นเอง แต่ก็มีตำรวจมายุติศึกจนได้ ส่วนในปีหลังจากนั้น ทางการได้สั่งห้ามการทำศึกมะเขือเทศ ซึ่งได้กลายมาเป็น “วันทำศึกมะเขือเทศ ”โดยปริยาย แต่กระนั้น ผู้คนก็เริ่มฉลองวันทำศึกดังกล่าว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในแต่ละปี มีคนมาร่วมงานประมาณ 10,000 คนเลยเชียว
 
แหล่งที่มาของข้อมูล  http://www.friendtravelthai.com/story_festivals.htm

แหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมอินคา "มาชู ปิกชู"

80 - Machu Picchu - Juin 2009 - edit.jpg
 
มาชูปิกชู (เกชัว: Machu Picchu)
หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกลืมโดยคนภายนอกจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454 มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปี พ.ศ. 2526 องค์กรยูเนสโกได้กำหนดมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์
 
มาชูปิกชูตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุสโกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตรบนยอดของทิวเขามาชูปิกชู ที่ระดับ 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญยิ่งทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ และเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวเกือบทุกคนที่มาเยือนประเทศเปรู
จากยอดเขา ณ หน้าผามาชูปิกชู เป็นหน้าผาที่มีลักษณะดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำคือ แม่น้ำอารูบัมบา ที่ตั้งของตัวเมืองนับเป็นความลับทางการทหารก็เนื่องจากการเป็นหน้าผาสูงชันที่มีอันตรายที่เป็นปราการป้องกันธรรมชาติอันยอดเยี่ยมนั่นเอง
ในปี พ.ศ. 2546 มีผู้คนประมาณ 400,000 คน ไปท่องเที่ยวที่มาชูปิกชู และยูเนสโกได้ส่งข้อความสารแสดงถึงความเสียหายจากนักท่องเที่ยวที่ไปเป็นจำนวนมาก แต่ทางผู้มีอำนาจของทางเปรูบอกว่าเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ถึงอย่างไรการคัดค้านนั้นทำให้มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ที่ไปเที่ยวชมและจำกัดจำนวนผู้เช้าชม และได้มีการเสนอให้ติดตั้งรถกระเช้า แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธอยู่ตลอดและดูไม่มีทางจะเป็นไปได้ทุกที
 
 
ที่มาของข้อมูล:
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B9

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน



ปราสาทหินนครวัดนครธม



สถานที่ตั้ง ประเทศกัมพูชา


นครวัตเป็นสถาปัตยกรรมที่มหัศจรรย์ยิ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ. 1643 กษัตริย์เขมรชื่อชัยวรมันที่ 2 ทรงสร้างขึ้นปราสาทนี้กว้างด้านละ 5 เส้น รอบ ๆ ปราสาทมีคู สร้างเป็น 3 ตอน ทางเข้าปราสาทด้านหน้าปูด้วยหินขนาดใหญ่มีราวกำแพงสลักเป็นพญานาคซุ้มประตูสร้างเป็นพระปรางค์ 3 ยอดผ่านประตูเข้าไปข้างในถึงตอนกลางเป็นปราสาทก่อเป็นพระปรางค์มี 5 ยอดมีภาพแกะสลักลงในเนื้อหินอย่างวิจิตรทุกส่วนสร้างด้วยศิลาแลง นครธมเป็นนครโบราณที่ประกอบไปด้วยปราสาทหินเป็นรูปสี่เหลียมจตุรัสมีคูเมืองกำแพง ป้อมปราการอันสวยงาม สร้างด้วยศิลาและหิน เนื้อที่ประมาณ 5500 ไร่




ทัชมาฮาล



สถานที่ตั้ง ประเทศอินเดีย

        ทัชมาฮาล เป็นสุสานฝังศพตั้งอยู่ที่ตอนโค้งของแม่น้ำยมนาฝั่งขวา เมืองอัคระ ประเทศอินเดีย ชาห์ชะฮานสร้างเป็นศรีสง่าแก่บริเวณพระราชวัง สำหรับเก็บศพมุมทัชมาฮาลพระมเหสี สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1630-1648 ด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอยสีฟ้า หินสีฟ้า โมรา หินทองแดงหินลาย พลอยสีเขียว นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่ได้มาจากนานาประเทศที่เป็นมิตรซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วนและวิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร มีผู้ร่วมสร้างเป็นผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี ภายหลังที่สร้างทัชมาฮาลชาห์ชะฮานใฝ่ฝันที่จะสร้างที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆแต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปีก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209(ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้



พระราชวังแวร์ซายส์



สถานที่ตั้ง ประเทศฝรั่งเศส


  เป็นสถานโบราณอันมีคุณค่าและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดให้สร้างด้วยหินอ่อน เมื่อปี ค.ศ. 1661(พ.ศ. 2204) เสียค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 500 ล้านฟรังค์ สามารถจุคนได้ 10000 คน กินเวลา 30 ปี ใช้คนงาน 30,000 คน ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็นห้องๆมีห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องโถงสำหรับออกว่าราชการฯลฯ แต่ละห้องมีเครื่องประดับมีค่ามากมายทั้งวัตถุและภาพศิลปะ ห้องที่มีชื่อที่สุดคือห้องกระจกที่เคยใช้ลงนามเซ็นสัญญาสงบศึกในคราวมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้ต่อเยอรมันจึงต้องประกาศให้ปารีสเป็นเมืองปลอดทหารไม่มีการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้นจึงไม่มีการเสียหาย ทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวไปชมความงามไม่น้อยกว่า 900,000 คน




เรือควีนแมรี่



สถานที่ตั้ง เมืองลองบีช ประเทศสหรัฐอเมริกา


เรือเดินสมุทร "ควีนแมรี่"ของอังกฤษลำนี้สร้างบนฝั่งแม่น้ำไคลด์ในประเทศสกอตแลนด์ หนักทั้งสิ้น 80,773 ตัน มีความยาว 300 เมตร สูง 54 เมตร เครื่องยนต์ขับเคลื่อนมีกำลังทั้งหมด 200,000 แรงม้า อัตราความเร็วชั่วโมงละ 30 นอต มีหม้อน้ำขนาดใหญ่ต้มน้ำ 400 ตันให้เดือดอยู่ทุกๆชั่วโมง บรรจุคนได้ประมาณ 2,000 คน บนดาดฟ้ามีที่ว่างทำสนามเล่นกีฬาได้ถึง 3 เอเคอร์ ภายในเรือมีร้านขายอาหาร สนามเด็กเล่น สำนักพิมพ์ เครื่องอำนวยความสะดวกครบครันเคยทำสถิติความเร็วโดยได้เดินทางจากเมืองท่าลิเวอร์พูล อังกฤษถึงเมืองท่านิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาในเวลา 9 วัน 


สะพานโกลเดนเกต

 

สถานที่ตั้ง เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
สะพานโกลเดนเกตเป็นสะพานที่มีช่วงยาวที่สุดในโลกทอดข้ามปากอ่าวทางตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก สร้างใน ค.ศ. 1937 ช่องกลางระหว่างตอม่อยาว 4200 ฟุตริมทั้งสองข้าง ยาวข้างละ 1125 ฟุต กว้าง 90 ฟุต สร้างเป็นแบบโครงแขวน แขวนอยู่บนหอคอยสูง 215 เมตรใช้เหล็กสายโยงขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 36 นิ้ว ข้างละ 2 เส้น รวม 4 เส้น ยาว 107,000 ไมล์และยังมีเส้นลวดเล็กยึดสายโยงอีกรวม 27,572 เส้น มีทางรถยนต์ 6 ทาง ทางรถบรรทุก 3 ทาง ทางรถไฟ 2 ทาง สูงกว่าระดับน้ำประมาณ 66 เมตร




ตึกเอมไพรสเตรท



สถานที่ตั้ง บนเกาะแมนฮัดตัน นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา


ตึกเอมไพรสเตรทเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ประเทศอเมริกา มีทั้งหมด 102 ชั้น สูงจากพื้นดิน 1248 ฟุต มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 2158000 ตารางฟุต จุคนได้25000 คน บนยอดสุดมีโดมสูงขึ้นไปอีก 60 เมตร จากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86 มีโครงเหล็กเสริมอย่างดี คิดเป็นน้ำหนัก 730 ตัน เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2472 สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2480


 

ทำนบยักษ์ฮูเวอร์

 

สถานที่ตั้ง หุบเขาแบลกแคนยอน ระหว่างรัฐเนวาดา กับ รัฐอริโซนา


ทำนบโบลเดอร์หรือเขื่อนยักษ์ฮูเวอร์ เป็นทำนบที่สูงที่สุดในโลกกักเก็บน้ำในแม่น้ำโคโรลาโดไว้ใช้ตลอดปีสำเร็จมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ตัวทำนบสูง 218 เมตร ฐานข้างล่างกว้าง 198 เมตร สันทำนบข้างบนกว้าง 13.5 เมตร ยาว 385 เมตร ใช้คอนกรีตเฉพาะสร้างตัวทำนบ 3,250,000 ลูกบาศก์หลาและส่วนอื่นๆอีก 4,400,000 ลูกบาศก์หลา มีเครื่องทำไฟฟ้าจากน้ำตกรวม 17 เครื่อง ให้กำลังไฟฟ้า 1,835,000 กิโลวัตต์ การสร้างทำนบมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัย กักน้ำไว้ใช้ในการกสิกรรม สงวนพันธ์ปลา สร้างกระแสไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ 

ที่มาของข้อมูล: http://www.student.chula.ac.th/~51371095/knowledge6.html


 








วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศสวิตเซอร์แลนด์





เบิร์น Bern 
เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์เป็นเมืองโบราณเก่าแก่และโรแมนติก การเดินเที่ยวชม ความงดงามของ สถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เมื่อมีโอกาสได้มาเยือนนครแห่งนี้ Bern สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้วโดยมีแม่น้ำ Aare ล้อมรอบตัวเมือง แม่น้ำแห่งนี้เปรียบเหมือนปราการธรรมชาติซึ่ง ป้องกันเมืองไว้ทั้ง สามด้านสำหรับด้านที่สี่ชาว เมืองได้สร้างกำแพงและสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ และโดยการรักษาผังเมืองให้มีสภาพดังเดิมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา Bernจึงได้รับการ ประกาศ ให้เป็นมรดก โลกของ UNESCO ซึ่งเป็นเมืองเดียวในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ การเดินชมเมือง ควรเริ่มจาก Rose Garden เพียง 5 นาทีก็จะพบกับบ่อเลี้ยง หมีของเมือง ( หมี เป็น สัญลักษณ์ของ Bern )



Jungfraujoch หลังคาแห่งยุโรป
หลังคาแห่งยุโรป ล่าสุดได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกของUnescoเมื่อเดือนธันวาคม 2544 สถานีรถไฟสูงที่สุดในยุโรป ที่ไม่สามารถลืมไปได้ ในการทัศนาจรภูเขา ซึ่งมีความ สูงถึง 3454เมตร พบกับสิ่งสวยงามที่นี่คือ วังน้ำแข็ง และทัศนียภาพ ที่งดงามประกอบ ไปด้วย Sphinxหอคอยชมทัศนียภาพ ที่อยู่เหนือ ธารน้ำแข็ง Aletsch ( ยาวที่สุดในเทือกเขา Alps ) และยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกันนี้ยังจะเดินเล่นบนหิมะ นั่งกระดานเลื่อนโดยมีสุนัข Huskyลากสนามเล่นสกี สโนว์บอร์ท สำหรับฤดูร้อนหรือ ท่านที่ชอบการท้าทาย ก็มีการผจญภัยอีกหลายอย่าง รับรอง 100% ท่านจะพบกับ หิมะ และน้ำแข็งที่นี่






ล่องเรือในทะเลสาบและชมปราสาทโบราณ
ล่องเรือในทะเลสาบ Thun และ Brienz ในวงล้อมของภูเขาสูง แวะชมปราสาท Thun ที่สร้างขึ้นใน ศตวรรษที่ 12 และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงในห้องโถงใหญ่ของปราสาท เปิดให้ชมระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนตุลาคม Spiezชมปราสาท โบราณที่เปิดรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ค่าโดยสารเรือฟรีโดยใช้สวิสพาสส์



Lausanne 
เมืองโลซานน์เป็นเมืองที่สงบ และงดงามมากอยู่ติดกับทะเลสาบ เจนีวามีท่าเรือข้ามไปสู่ ประเทศฝรั่ง เศสได้ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โอลิมปิค ซึ่งท่านจะพบกับการแสดงอันยิ่งใหญ่ ของวินาทีแห่ง ประวัติศาสตร์ โอลิมปิคกับสุดยอด Special Effect ที่จะทำให้คุณย้อนกลับไปอยู่ ใน เหตุการณ์จริง ชมหลักฐานที่ สำคัญต่างๆ ในซุ้มนิทรรศการ ห้องจัดแสดงงาน ศูนย์ข้อมูลพร้อมศูนย์อำนวย ความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน รับฟรีบัตรเข้าชม Olympic Museum สำหรับท่านที่จอง สวิตเซอร์แลนด์แพคเก

ที่มาข้อมูล http://www.qetour.com/travel-guide/switzerland-travel-guide.phpจ 

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

“เทพีไอซิส” เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์


เทพีไอซิสเป็นธิดาของรา RA สุริยเทพผู้ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ซึ่งมีโอรสและธิดา ๕ องค์ด้วยกัน ทั้งเทพีไอซิสและเทพโอซิริส (Osiris) ต่างก็เป็นบุตรของรา ที่ได้อภิเษกกันเอง เฉกเดียวกับเทพเซตและเทพีเนพทิส จะมีก็เพียงเทพฮามาคิสเท่านั้นที่ไม่ได้อภิเษกกับผู้ใด

ในความเชื่อของขาวอียิปต์ ต่างยกย่องให้ไอซิสเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ขณะที่เทพโอซิริสเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังยกย่องให้เทพีไอซิสเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อสามีตัวเองอย่างไม่เสื่อมคลาย และยังเชื่อว่าพระนางเป็นผู้สอนให้ชาวอียิปต์รู้จักการทำกสิกรรม รู้จักการทำแป้งสาลี ปั่นด้ายทอผ้า รวมทั้งการรักษาโรคขั้นพื้นฐานต่างๆอีกด้วย ในปัจจุบันหลายคนอาจสับสนระหว่างเทพีไอซิสกับเทพีฮาเทอร์ที่มักจะมีสัญลักษณ์คล้ายๆ กัน นักวิชาการทางไอยคุปต์กล่าวสรุปไว้ว่าให้สังเกตุที่เทพีไอซิสจะอยู่ร่วมกับเทพโอซิริสและเทพฮอรัส ขณะที่เทพีฮาเทอร์นั้นมักพบรูปสลักของพระนางในกริยาดูแลทารกและรับใช้กษัตริย์

ตามผนังของวิหารต่างๆ เราจะพบภาพของเทพีไอซิสที่มีสัญลักษณ์ต่างๆ บนเศียรเสมอ เช่น สัญลักษณ์ที่เป็นแผ่นวงกลมที่เรียกกันว่าแผ่นสุริยะ ติดอยู่ระหว่างเขาวัว บางครั้งเศียรของพระนางก็เป็นหัววัวเสียเองกล่าวว่าช่วงนั้นพระนางได้รับคำแนะนำจากเทพเจ้าทอตให้แปลงร่างเพื่ออำพรางตัวจากเทพเซต แต่บางครั้งเราอาจเห็นเทพีไอซิสมีเศียรประดับด้วยจันทร์เสี้ยว หรือบางครั้งก็จะเป็นดอกบัวขาวบ้างก็มีแซมด้วยดอกข้าวสาลี

วิหารที่ถือว่าเป็นของเทพีไอซิสนั้น คือวิหารแห่งฟิเล่ เป็นเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำไนล์ ถือเป็นวิหารขนาดเล็กที่สวยงาม ภายในประดับประดาด้วยภาพแกะสลักบนแผ่นหิน จารึกเกี่ยวกับความรักของพระนางที่มีต่อสวามีเทพโอซิริสและโอรสของพระนางเทพฮอรัส แม้ว่าตำนานรักของพระนางจะถูกเสริมเติมแต่งมากมาย แต่ข้อใหญ่ใจความที่ทำให้หลายคนอดทึ่งและรู้สึกศรัทธาต่อพระนางไม่ได้ก็คือ เรื่องการของออกตามหาร่างของสวามีที่ถูกน้องชายปองร้าย

หลังจากเทพโอซิริสและเทพีไอซิสขึ้นครองบัลลังค์ต่อจากเทพราแล้วก็ยังความริษยามาสู่เทพเซตอย่างล้นเหลือ จนกระทั่งออกอุบายลวงพี่ชายตัวเองด้วยปรารถนาในบัลลังก์ เทพเซตจึงสร้างหีบขึ้นมาอย่างวิจิตรงดงาม และนำไปถวายแด่เทพโอซิริส โดยมีข้อแม้ให้เทพโอซิริสเสด็จทอดร่างลงไปในหีบใบนั้น
ด้วยความวิจิตรงดงามทำให้เทพโอซิริสมิได้เอะใจถึงความร้ายกาจของอนุชาตัวเอง พระองค์เสด็จลงไปทอดร่างในหีบพร้อมกับที่เทพเซตผนึกฝาแน่นสนิทแล้วนำไปลอยในแม่น้ำไนล์ หีบนั้นลอยไปติดกับอยู่กับต้นทามาริสต์กระทั่งกิ่งก้านของมันห่อหุ้มหีบจนมิดชิด ราชาแห่งนครไบลอสนำต้นไม้ดังกล่าวไปสร้างเป็นเสาประดับในท้องพระโรงของตัว โดยไม่ได้รู้ว่าภายในมีหีบบรรจุร่างของเทพโอซิริสอยู่….

ข้างฝ่ายเทพีไอซิสได้ออกตามหาร่างของสวามีกระทั่งรู้ว่าอยู่ในเมืองไบลอสจึงจำแลงร่างเป็นหญิงชราเพื่อเข้าไปดูแลโอรสแห่งราชาไบลอสทุกค่ำคืนพระนางจะลอบมาร่ำไห้กับเสาที่บรรจุร่างของเทพโอซิริส จนกระทั่งราชินีแห่งไบลอสรู้ความจริง และด้วยความเห็นใจ จึงมอบเสาต้นนั้นกลับคืนให้แก่เทพีไอซิส กลับไปยังเกาะแซมมิส ที่หลบซ่อนตัวจากเทพเซต เทพเซตยังไม่หยุดความอำมหิต ยังคงตามมาราวีถึงเกาะแซมมิส พร้อมฉีกร่างของเทพโอซิริสออกเป็น ๑๔ ชิ้น แล้วเหวี่ยงกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ เทพีไอซิสไม่ละความพยายาม พระนางยังเร้นตัวออกตามหาร่างกายของสวามีตัวเอง ดินแดนที่พบชิ้นส่วนพระนางจะสร้างเสาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์กระทั่งครบทั้ง ๑๔ แห่ง

จากนั้นพระนางได้นำชิ้นส่วนทั้งหมดของเทพโอซิริสมาประกอบ พร้อมชโลมด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้วห่อด้วยผ้าขาวเนื้อดี เพื่อให้เทพโอซิริสมีชีวิตเป็นนิรันดร์ กล่าวกันว่านี่คือต้นกำเนิดการทำมัมมี่ของอียิปต์ นึกถึงความพยายาม ความอดทน บากบั่นในการค้นหาเทพโอซิริสของเทพีไอซิสแล้ว ทำให้หลายคนยกย่องว่านี่คือตำนานรักที่ยิ่งใหญ่ตำนานหนึ่ง



ที่มาข้อมูล http://zybernia.wordpress.com/2009/03/19/isis-queen/